About us

สรุปภาพรวมของบริษัทนับจากเริ่มต้นดำเนินการจนถึงปัจจุบัน

พ.ค. 2547

บริษัทฯ ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจ ในการผลิตชิ้นส่วนงานเหล็ก มีเงินลงทุนเริ่มแรก จำนวนเงิน 2,000,000 บาท ดำเนินกิจการโดยการเช่าพื้นที่โรงงานขนาด 25 x 40 เมตร มีกำลังผลิต รวม 50 ตันต่อเดือน

ธ.ค. 2555

ขยายกำลังการผลิตโดยย้ายมาเช่าโรงงานแห่งใหม่มีพื้นที่โดยรวม 15,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่โรงเรือน 1,440 ตารางเมตร และพื้นที่โล่งอีกกว่า 10,000 ตารางเมตร ทำให้สามารถผลิตงานได้เพิ่มขึ้นเป็น 300 ตันต่อปี และผลิตงานรถได้ 200 คันต่อปี

ก.ย. 2561

ซื้อที่ดินและเริ่มการก่อสร้างโรงงานของบริษัทเองแทนการเช่า บนเนื้อที่ดินขนาด 24 ไร่ ตั้งอยู่เลขที่ 387 หมู่ 2 ตำบลมะขามคู่ อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง 21180 งบประมาณการก่อสร้างรวม 60 ล้านบาท

ม.ค. 2562

เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5,000,000 บาท เพื่อรองรับการขยายงาน โดยมีกำลังผลิต รวม 150 ตันต่อเดือน หรือ 1,800 ตันต่อปี และผลิตงานรถได้ 30 คันต่อเดือน

ม.ค. 2563

ขยายโรงงาน โดยมีกำลังผลิต รวม 210 ตันต่อเดือน หรือ 2,500 ตันต่อปี และผลิตงานรถได้ 50 คันต่อเดือน

ประวัติความเป็นมา

บริษัท สตีลเมอร์ จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2547 โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรขนาดเล็กที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จของงานควบคู่ไปกับความสุขในการทำงาน ด้วยกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ในงานด้านงาน Steel Fabrication และ Erection มากว่า 15 ปี บริษัทเริ่มดำเนินงานกับ Yongnam Engineering & Construction (PTE) Co.,LTD. ในโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และได้เริ่มสร้างเสริมบุคลากรให้มีทักษะและประสบการณ์ในงานด้านโครงสร้างเหล็กเพิ่มมากขึ้นตามลำดับอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท ทุน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายโรงงานผสมปูนรายใหญ่ภายใต้ยี่ห้อ “KPT-Group” มอบหมายให้บริษัทผลิตโครงสร้างโรงงานผสมปูน (Concrete batching plant) ตลอดจนยังได้เป็นผู้ผลิตโครงสร้างเหล็กสำหรับรองรับระบบสีสำหรับงานรถยนต์ EDP System เพื่อใช้ติดตั้งในกระบวนการผลิตรถยนต์ของโตโยต้า และฟอร์ดให้กับบริษัทจรูญรัตน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

ในปี พ.ศ. 2556 บริษัทได้มีโอกาสทำงานให้กับบริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ไฮวา (ประเทศไทย) จำกัด ในโครงการผลิตรถบรรทุกดัมพ์คุณภาพสูงสำหรับงานหนักที่ใช้ในเหมืองหยกในประเทศพม่า จำนวน 175 คัน ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี จึงส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากบริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) ให้เป็นผู้ผลิตกระบะดัมพ์คุณภาพสูงให้กับกลุ่มบริษัท วอลโว่ เรื่อยมา และในปี พ.ศ. 2557 บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป ได้เริ่มสายการผลิตรถบรรทุกภายใต้แบรนด์ ยูดี ทรั๊ค ในประเทศไทย บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตส่วนประกอบควบรถบรรทุก อาทิเช่น กระบะรถดั๊มพ์ แทงค์ รถขยะ เป็นต้น สำหรับนำไปประกอบกับรถบรรทุกเพื่อการส่งออกทั่วโลก
ตั้งแต่นั้นมาบริษัทจึงมีธุรกิจหลักเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ งานแปรรูปโลหะ ( Steel Fabrication ) และงานผลิตส่วนประกอบควบรถบรรทุก รถพ่วงและกึ่งพ่วง ( Body Builder ) โดยมีวัตถุประสงค์หลักของกิจการประกอบด้วย 2 ประเภทกิจการได้แก่

1) การประกอบธุรกิจงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก (Steel Fabrication), งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก (Structural Steel Fabrication) , งานติดตั้งระบบท่อ (Piping work),,งานสร้างและประกอบชิ้นส่วนของเครื่องจักร ( Machinery part ), งานสร้างและประกอบถังทนแรงดัน (Tank & Pressure Vessel) อุปกรณ์ลดความร้อน (Gas Cooling Tower), งานสร้างถังเก็บน้ำมัน , สารเคมี, หรือวัสดุอื่นๆ (Storage tank, Silo) เป็นต้น ซึ่งขอบข่ายการบริการของบริษัท ดังที่กล่าวมานั้นเป็นงานพื้นฐานในอุตสาหกรรมก่อสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้า โครงการก่อสร้างทุกประเภท รวมทั้งงานสร้างประกอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
บริษัทมีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับโดยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโรงงานให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตไม้อัดหลายโรงงาน อาทิเช่น บริษัท ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (มหาชน) จำกัด, บริษัท เมโทร ปาติเกิล จำกัด, บริษัท วนชัย พาเนล อินดัสทรี่ส์ จำกัด อีกทั้งยังมีการขยายงานการแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กเพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยมีลูกค้าสำคัญๆ เช่น Slot-Nankai Co., Ltd., Soltec Industries Co., Ltd. Mesco, Inc เป็นต้น และ

2) การประกอบธุรกิจการผลิตส่วนประกอบควบรถบรรทุก รถพ่วงและกึ่งพ่วง ( Body Builder ) ได้แก่ กระบะดัมพ์ ( Tipper body ) ถังน้ำติดรถบรรทุก ( Water tank ) กระบะเปิดข้าง ( Cargo body ) กระบะติดเครน ( Crane truck ) รถขยะ ( Compactor) และอื่นๆ
ธุรกิจด้านงานผลิตส่วนประกอบควบรถบรรทุก รถพ่วงและกึ่งพ่วง ( Body Builder ) นั้นมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ วอลโว่ กรุ๊ป ซึ่งมีการสั่งซื้อโดยประมาณปีละ 250-300 คัน และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีลูกค้าภายในประเทศ เช่น ฮีโน่, อีซูซุ รวมถึงลูกค้าในกลุ่มเหมือง เช่น บริษัท ผาทอง เป็นต้น